AIS Fibre เดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่อุตสาหกรรมเน็ตบ้านอย่างยั่งยืน ชูกลยุทธ์ “Service Innovation” ผนึกพลังทั้งองค์กรและพาร์ทเนอร์ เผยช่วงโควิดระบาดทั้ง 3 รอบ ทำให้ปริมาณการใช้งานเพิ่มกว่า 40 % คนใช้ดีไวซ์เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 10 เครื่องต่อหลังคาเรือน
นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าฝ่ายงานบริหารธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า ตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากการต้องกลับมาทำงานและเรียนที่บ้าน กลายเป็นหัวใจสำคัญในการเชื่อมโยงการขับเคลื่อนของระบบเศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตของคนในยุค NOW Normal ทำให้เห็นรูปแบบและพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อต้นปี 2563 ซึ่งเอไอเอสพบว่าได้เปลี่ยนจากการใช้งานหนาแน่นช่วงสุดสัปดาห์และเบาบางช่วงวันทำงานมาเป็นการใช้งานหนาแน่นทั้ง 7วัน และมีปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นสูงกว่า 40 % ในช่วงโควิด-19 ระบาดทั้ง 3 รอบ
ขณะเดียวกันก็มีการใช้ดีไวซ์หรืออุปกรณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว หรือเฉลี่ยประมาณ 10 เครื่องต่อหลังคาเรือน ส่วนแอพพลิเคชั่นในการประชุมและเพื่อความบันเทิงได้เติบโตอย่างมากทั้งในเรื่องปริมาณการใช้งานและจำนวนผู้ใช้งาน ซึ่งแอพพลิเคชั่นเพื่อการประชุมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอันดับต้น ๆ เช่น กูเกิลมีท ซูม ไมโครซอฟท์ทีม และเว็บเอ็กซ์ นอกจากนี้ยังการใช้งานเกมออนไลน์เพิ่มอย่างมากในหลากหลายเกมส์ เช่น ROV ,FREEFIRE,ROBLOX และCOOKIERUN ส่วนแอพอีคอมเมิร์ซ มีการเติบโตสูงมากโดยเฉพาะไลฟ์สตรีมมิ่ง ขายสินค้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมของผู้ขายและผู้ซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป
“จากข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นภารกิจที่ชาว AIS Fibre ทุกคนถือเป็นเป้าหมายและพันธสัญญาเดียวกันว่าจะทำทุกวิถีทางที่จะส่งมอบประสบการณ์ และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้เชื่อมต่ออย่างราบรื่นที่สุด เพื่อนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกสถานการณ์ และทำให้ AIS Fibre ยิ่งเพิ่มความเข้มข้นของการทำงานในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพัฒนาคุณภาพสัญญาณโครงข่าย การขยายพื้นที่การให้บริการให้ครอบคลุมมากขึ้น และที่สำคัญคือ การยกระดับคุณภาพงานบริการที่แตกต่างและเหนือกว่าด้วยกลยุทธ์ Service Innovation ที่ต้องใช้พลังของทุกส่วนงานทั้ง พนักงาน ทีมงานขาย พนักงาน Call Center พนักงานหน้าร้าน ทีมงานติดตั้ง ทีมงาน support รวมทั้ง พันธมิตรทางธุรกิจ ที่ผสานการทำงานด้วยเทคโนโลยี และ Automatic Process ที่เชื่อมต่อกันทั้งระบบ ตั้งแต่ระบบหน้าบ้านที่ติดต่อกับลูกค้า จนถึงระบบหลังบ้านที่จัดการทั้งหมด รวมถึงการทำ Dashboard & Monitoring Tools ที่ช่วยติดตามผล อัพเดทสถานการณ์การดูแลลูกค้าแต่ละบ้านให้เป็นไปตามเงื่อนไข และสามารถแก้ไขทันทีหากเกิดปัญหา”
นายกิตติ กล่าวว่า “งานบริการ” คือกลยุทธ์สำคัญที่เป็น Brand DNA ของ AIS ซึ่งได้สร้างความเป็นผู้นำให้แข็งแกร่งมาโดยตลอด ทำให้เรื่องของ Service Innovation กลายเป็นเป้าหมายร่วมกันของทั้งองค์กรที่จะมาเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะสร้างความแตกต่างให้กับตลาดที่มุ่งเน้นการแข่งขันไปกับสงครามราคา ซึ่งไม่ใช่แนวทางการทำงานของ AIS Fibre อย่างแท้จริง
“วันนี้บริการที่เหนือกว่าถูกถ่ายทอดออกมาให้เป็นรูปธรรมและลูกค้าได้สัมผัสจนเกิดความพึงพอใจสูงสุดทุกกระบวนการตั้งแต่การลงทุนพัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะให้มีคุณภาพตอบโจทย์การใช้งานลูกค้าในทุกช่วงเวลา ขยายพื้นที่การให้บริการครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศ การเตรียมสรรพกำลังด้วยบุคลากรทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน รองรับความต้องการตั้งแต่การขายไปจนถึงการติดตั้ง ภายใต้ 3 มาตรฐานที่จะเปลี่ยนภาพธุรกิจเน็ตบ้านให้ก้าวไปอีกขั้น ทั้ง “มาตรฐาน การแก้ปัญหาภายใน 24 ชม.” ให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุด “มาตรฐาน การติดตั้งเร็ว” พร้อมเข้าติดตั้งเพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างเร็วที่สุด และ“มาตรฐาน ช่างนัดตรงต่อเวลา” ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง การให้บริการ หรือการเข้าไปดูแลเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้งานในทุกกรณี”
นายกิตติ กล่าวว่า ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ AIS Fibre ลงสนามตลาดเน็ตบ้าน สามารถขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำได้สำเร็จ ให้บริการลูกค้าไปแล้วกว่า 1.53 ล้านครัวเรือน และยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดขายเติบโต 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเติบโตมากกว่าตลาดรวม ซึ่งปัจจุบัน AIS Fibre มีส่วนแบ่งการตลาด 13.5 %
“เราเชื่อว่าหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนนอกเหนือจากการมีนวัตกรรมสินค้าและบริการโดนใจตอบโจทย์ของลูกค้า โครงข่ายและคุณภาพของสัญญานที่มีความเร็ว แรงและความเสถียร อีกหนึ่งความท้าทายคือ การให้บริการที่ทำให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก ด้วยประสบการณ์ที่ดีที่สุด ด้วยปัจจัยทั้งหมดจะทำให้เราเติบโตได้อย่างยั่งยืน สู่การเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค ที่จะทำให้เราสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ไม่ยาก”